เมนู

จุตูปปาตญาณ



[16] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส
ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อม
โน้มน้อมจิตไปเพื่อรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย เธอเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ
กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วย
ทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตาม
กรรมว่า สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียน
พระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เบื้องหน้า
แต่ตายเพราะกายแตก เขาเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้
ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัม-
มาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
เขาเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์ ดังนี้ เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว
ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอัน
บริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วย
ประการฉะนี้.

อาสวักขยญาณ


[17] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส
ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อม
โน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ เธอย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์
นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ นี้อาสว-
สมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อเธอรู้เห็นอย่างนี้ จิต

ย่อมหลุดพ้น แม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิต
หลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์
อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลนี้เรากล่าวว่า ไม่ทำตนให้เดือดร้อน ไม่
ประกอบความขวนขวายในการทำตนให้เดือดร้อน ไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ไม่
ประกอบความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน เขาไม่ทำตนให้เดือดร้อน
ไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ไม่มีความหิว ดับสนิท เป็นผู้เย็น เสวยแต่ความสุข
มีตนเป็นดังพรหมอยู่ในปัจจุบัน.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำเป็นไวยากรณ์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นชื่นชม
ยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ดังนี้แล.

จบกันทรกสูตรที่ 1

ปปัญจสูทนี


อรรถกถามัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์


อรรถกถาคหปติวรรค


1. อรรถกถากันทรกสูตร



กันทรกสูตร มีบทเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ข้าพเจ้าได้สดับมา
อย่างนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า จมฺปายํ คือในนครมีชื่ออย่างนั้น. เพราะนคร .
นั้นได้มีต้นจำปาขึ้นหนาแน่นในที่นั้น ๆ มีสวนและสระโบกขรณีเป็นต้น . ฉะนั้น
จึงได้ชื่อว่า นครจัมปา. บทว่า คฺคคราย โปกฺขรณิยา ตีเร ณ ฝั่งสระโบก-
ขรณี ชื่อว่า คัคครา คือ ณ ที่ไม่ไกลนครจัมปานั้นมีสระโบกขรณี ชื่อว่า
คัคครา เพราะพระราชมเหสีพระนามว่า คัคครา ทรงขุดไว้. ณ ฝั่งสระโบก-
ขรณีนั้นมีสวนจำปาขนาดใหญ่ประดับด้วยดอกมี 5 สีมีสีเขียวเป็นต้นโดยรอบ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ สวนจำปาอันมีกลิ่นดอกไม้หอมนั้น.
พระอานนทเถระหมายถึงสวนจำปานั้นจึงกล่าวว่า คคฺคราย โปกฺขรณิยา
ตีเร ดังนี้.
บทว่า มหตา ภิกฺขุสงฺเฆน สทฺธึ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ คือ
พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่มิได้กำหนดจำนวนไว้. บทว่า เปสฺโส เป็นชื่อ
ของบุตรนายหัตถาจารย์นั้น. บทว่า หตฺถาโรหปุตฺ โต คือบุตรของนายหัตถา-
จารย์ (ควาญช้าง). บทว่า กนฺทรโก ปริพฺพาชโก คือ ปริพาชกผู้นุ่งผ้าจึง
มีชื่ออย่างนี้ว่า กันทรกะ.